ถ้าพรีเมียร์ลีกไม่มี VAR

หากไร้ VAR เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฟีฟาเริ่มใช้ Video Assistant Referee เต็มรูปแบบทุกนัดทุกสนามของทัวร์นาเมนท์ในเวิลด์คัพ 2018 ที่รัสเซีย ส่วนพรีเมียร์ลีกเริ่มนำมาใช้ในซีซัน 2019-20 หลังทดลองกับเอฟเอ คัพ และอีเอฟแอล คัพ ช่วงเวลาหนึ่ง

พรีเมียร์ลีก VAR

ยังไม่สามารถชี้ขาดได้ว่า VAR ทำให้เกมลูกหนังเป็นกลางขึ้นหรือไม่

แต่ที่แน่นอนไม่ได้ลดการขัดแย้งลงได้เลยแถมทวีความเข้มข้นขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ากฎกติกายังเปิดให้ตีความ ยังไม่มีมุมกล้องถ่ายรูปหรือสโลโมชันรีเพลย์มากพอเพื่อให้ได้ฉันทามติเป็นเอกฉันท์สำหรับทุกเหตุการณ์ในสนาม และการวินิจฉัยที่สังกัดดุลยพินิจของมนุษย์ก็หนีไม่พ้นมุมมองที่แตกต่างกันอยู่ดี

ต.ค.ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา อันโตนิโอ คอนเต ถูกไล่ออกเพราะว่าแสดงคำกริยาไม่เหมาะสมหลังลูกยิงของแฮร์รี เคน ไม่เป็นประตูช่วงท้ายเกมกับสปอร์ติง ลิสบอน และผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมสเปอร์สกล่าวตอนหลังว่า VAR กำลังสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

เมื่อไม่นานมานี้ เดล จอห์นสัน ได้เผยแพร่บทความเรื่อง Premier League without VAR ลงในสื่อออนไลน์ อีเอสพีเอ็น เอฟซี ในหัวข้อตารางอันดับพรีเมียร์ลีกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรถ้าหากว่าไม่มี VAR ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียมากไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับเพื่อการแข่งขัน 146 นัดก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาของฤดูกาล 2022-23

จากตารางในโลกไร้ VAR ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เสียหายสูงสุด แต้มหายไป 5 คะแนน ลดจากอันดับ 6 ลงมาอยู่อันดับ 12 ห่างโซนตกชั้นเพียงแค่ 5 คะแนน

ขณะที่เวสต์แฮมได้รับคุณประโยชน์มากที่สุด ปีนจากอันดับ 16 ขึ้นมาอยู่อันดับ 9 หลังได้รับแต้มเพิ่ม 4 คะแนน

ตัวอย่างหนึ่งของผลที่แปรไปของลิเวอร์พูลเป็น นัดที่ชนะแมนฯซิตี 1-0 โดยนาทีที่ 53 สกอร์เสมอ 0-0 ภายหลังลูกของฟิล โฟเดน ไม่เป็นประตูเพราะว่าเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ทำฟาวล์ฟาบินโญ แต่เมื่อไม่มี VAR มาหักล้างการวิเคราะห์ของกรรมการ โฟลเดนจึงทำให้แมนฯซิตีนำ 1-0 ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาก็ถูกลบไปด้วยรวมทั้งประตูนาทีที่ 76 ของโม ซาลาห์ ลิเวอร์พูลจึงแพ้แชมป์เก่าไป 0-1

แนวทางการคำนวณ VAR Effect Table ไม่ได้อาศัยเพียงปริมาณครั้งที่ทีมได้รับผลประโยชน์จาก VAR หรือปริมาณประตูที่ได้รับผลพวงจาก VAR แต่ว่าสลับซับซ้อนกว่านั้น โดยอีเอสพีเอ็นพินิจเหตุการณ์ทั้งผอง 48 ครั้งที่ VAR เปลี่ยนคำตกลงใจของกรรมการในพรีเมียร์ลีกซีซันนี้

และคำนวณถึงผลพวงที่บางทีอาจเกิดขึ้นกับแมตช์นั้นๆแต่ว่าอีเอสพีเอ็นถือมาใช้เฉพาะ VAR คราวแรกเพียงแค่นั้นเพราะว่า VAR ที่ตามมาจะไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้หลังเหตุการณ์แรกไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว (เสมือนเหตุการณ์ในรูปภาพยนตร์แนว butterfly effect ที่เล่นกับเวลาหรือไทม์ไลน์ของหนังมาร์เวล)

อย่างเช่นลูกที่ VAR กลับคำวินิจฉัยไม่เป็นประตูเพราะว่าล้ำหน้า กลายเป็นทีมนั้นได้ประตูไปแทน ซึ่งจะทำให้โมเมนตัมของเกมเปลี่ยนไปต่อจากนั้น หรือลูกจุดโทษที่ VAR ยกเลิก กลายเป็นทีมนั้นได้ยิงจุดโทษแทน

ส่วนจะยิงเข้าหรือไม่นั้น อีเอสพีเอ็นพินิจจากเปอร์เซ็นต์ความเที่ยงตรงเฉลี่ย ถ้าต่ำลงมากยิ่งกว่า 50% ถือว่าทีมนั้นยิงไม่เข้า ขณะที่ทีมไหน VAR เปลี่ยนให้ได้จุดโทษและยิงเข้า กรณีนี้ให้ถือว่าไม่ได้ประตู

หากไม่มี VAR

หากไร้ VAR อีเอสพีเอ็นยังใช้ 5 สาเหตุ

ต่อไปมาพินิจก่อนให้บทสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง VAR โดนไม่ยอมรับคำตัดสินเสียเอง

Team form: ผลแข่งขัน 6 นัดก่อนหน้านี้เพื่อชี้ว่าแต่ละทีมมีมาตรฐการเล่นอย่างไรในนัดดังกล่าว

Time of incident: เวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเช่น ถ้าเกิดท้ายแมตช์ ก็มีโอกาสน้อยมากที่สกอร์ไลน์จะเปลี่ยนแปลงอีกหลังจุดนั้น

xG at time of incident: ค่าเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูใช้คำนวณว่าฝ่ายไหนมีโอกาสดีกว่านั้นในช่วงเวลาที่เหลือ

Team strength: ความแข็งแกร่งของทีมเช่น อันดับบนตาราง จำนวนประตูได้ สถิติเกมรับ

Impact of incident: อย่างเช่นการลบโทษใบแดงอาจจะเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขัน

ต่อจากลิเวอร์พูล ทีมที่เสียหายรองลงมาถ้าหากว่าไม่มี VAR คือแมนฯยูไนเต็ด ที่เสียไป 3 คะแนน ตกจากอันดับ 5 มาอยู่อันดับ 6 แต่ช่องว่างกับท็อป-4 เพิ่มจาก 3 เป็น 5 คะแนน ตามมาด้วยเบรนท์ฟอร์ด (-3) และ คริสตัล พาเลซ (-3) ส่วนทีมที่ได้ประโยชน์จากการไม่มี VAR ดังเช่นว่า เวสต์แฮม (+4) และ แมนฯซิตี (+3) ขณะที่ทีมที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็น วิลลา, เซาแธมป์ตัน และวูลฟ์ส

ถ้าไม่มี VAR ตารางอันดับท็อป-10 พรีเมียร์ลีกก่อนเบรกเวิลด์คัพจะเป็นดังนี้ 1.อาร์เซนอล 38 คะแนน, 2.แมนฯซิตี 35 คะแนน, 3.สเปอร์ส 31 คะแนน, 4,นิวคาสเซิล 28 คะแนน, 5.ไบรท์ตัน 23 คะแนน, 6.แมนฯยูไนเต็ด 23 คะแนน, 7.ฟูแลม 20 คะแนน, 8.เชลซี19 คะแนน, 9.เวสต์แฮม 18 คะแนน, 10.วิลลา 18 คะแนน

นำมาให้อ่านกันเพลิดเพลินๆเป็นการฝึกซ้อมก่อนเวิลด์คัพคิกออฟที่กาตาร์ในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งเชื่อว่า VAR คงสร้างดราม่าคอนเทนต์ให้แฟนบอลทั่วทั้งโลกได้คัดค้านกันไม่ใช่น้อย