คาเซมิโร่ : กองกลางที่เก่งที่สุดในโลก

คาเซมิโร่ เขาถูกชื่นชมก่อนหน้าเกมว่าเป็นคีย์แมนที่มองไม่เห็นของบราซิล แต่เมื่อเกมจบลง คาเซมิโร่ ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น “กองกลางที่เก่งที่สุดในโลก”

เกมระหว่าง บราซิล กับสวิตเซอร์แลนด์ ดูอย่างกับว่าจะจบลงแบบหงอยเหงาด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ของทั้งสองฝ่าย แต่นักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่คิดแบบงั้น

ระหว่างที่เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 7 นาทีก่อนจบเกม แฟนๆอาจเริ่มเดินทางออกจากสนาม แต่คาเซมิโร่ ระเบิดลูกยิงที่ไม่มีใครหยุดได้ ด้วยการซัดจากนอกกรอบจุดโทษบอลพุ่งเข้าไปเสียบเสาไกล ทำให้กองเชียร์ “แซมบ้า” ที่เหลืออยู่กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี พร้อมส่งให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายตามจุดหมาย

โดยพลันที่ลูกฟุตบอลพุ่งเข้าไปเสียบตาข่าย และเสียงนกหวีดให้เป็นประตู ทำให้บรรดาตำนานอย่าง โรนัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และคาฟู ที่นั่งดูเกมอยู่ร่วมกันบนอัฒจันทร์ภายในสนาม ยินดีปรีดิ์อย่างมากมาย เพราะว่านั่นคือประตูสำคัญเป็นอย่างมากทำให้ไม่ต้องไปออกแรงเหนื่อยในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม
“ผมยิงได้ แต่สิ่งสำคัญคือการได้ช่วยเหลือทั้งทีม” คาเซมิโร่ ที่รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ กล่าวแบบถ่อมตัวตามสไตล์ที่คุ้นตา

“เมื่อเราชนะ เราก็ชนะด้วยกัน ตอนเราแพ้ เราก็แพ้ด้วยกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความคิดของผมได้”

“นี่คือทีม ทีมชาติบราซิล และในฐานะนักเตะ เราต้องเล่นกันเป็นทีม นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการก้าวไปคว้าแชมป์”

คาเซมิโร่ บอลโลก 2022 ทีมชาติบราซิล

คาเซมิโร่ นักดับเพลิง

คลื่น ทะเล แฟน บอล สี เขียว เหลือง มากมายอยู่ นอก สนาม ก่อนถึงเวลาคิกออฟ โดยแฟนๆโดยมากสวมเสื้อ ยกผ้าที่มีไว้พันคอและธงโบกไปมาสร้างสีสันตลอดเกมการแข่งขัน

แฟนๆที่เข้าไปยังสนาม สเตเดี้ยม 974 โดยมากเป็นสาวก “เซเลเซา” ที่ทำให้กองเชียร์จากแดนนาฬิกา เล็กไปถนัดตา อย่างไรก็ตาม โดยมากเราจะเห็นแฟนๆสวมเสื้อเบอร์ 10 ของเนย์มาร์ แต่แทบไม่ปรากฏเบอร์ 5 ของคาเซมิโร่เลย

กิลแบร์โต้ ซิลวา ซึ่งเขียนคอลัมน์ให้ บีบีซี สปอร์ต และเป็นพวกที่อยู่ในทีมชุดครองแชมป์โลกหนสุดท้ายเมื่อ 20 ปีก่อน พูดว่าคาเซมิโร่ “มีหน้าที่รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่” ด้วยภารกิจเล่นเกมรับ เพื่อที่จะทำให้แนวรุกมากเรื่องมากความสามารถของทีมออกดอกผลโชว์ท่าทางแซมบ้าให้แฟนๆได้รับดู

แต่ท้ายที่สุดแล้วคาเซมิโร่ ก็ต้องทำทุกๆอย่างด้วยตัวเอง แถมยังตัดบอล (4 หน) สูงที่สุดในสนาม ไม่มีนักเตะคนไหนได้ช่องยิง (2 หน) มากไปกว่าเขา ระหว่างที่สุดท้าย เจ้าตัวลงเอยด้วยการเบิกสกอร์แรกในเวิลด์ คัพ ได้สำเร็จ

การเผชิญหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาระเบิดพลุ่งพล่านเมื่อลูกยิงของสตาร์ยูไนเต็ด พุ่งเข้าไปกระทบก้นตาข่าย ก่อนที่เพื่อนๆของเขาจะเข้ามายินดีตอนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ก่อนกระโดดโลดเต้นร้องรำทำเพลงไปร่วมกันด้วยความปรีดา

ชัยชนะดังที่ได้กล่าวมาแล้วทำให้แชมป์โลก 5 สมัย ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ โดย เนย์มาร์ ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ลงสนาม ทวิตต์ว่า “คาเซมิโร่คือมิดฟิลด์ที่เก่งที่สุดในโลกมาช้านานแล้ว”

เมื่อโดนถามความเห็นเรื่องนี้ ติเต้ ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “ผมเคารพความเห็นต่างๆ อยู่เสมอเป็นกิจวัตร ผมมักไม่ชอบแสดงความเห็นสักเท่าไหร่ แต่ผมจะอนุญาตให้ตัวเองได้ทำในวันนี้ ผมเห็นด้วยครับ”

ส่วน เซซาร์ ซามปิโอ ผู้ช่วยโค้ช ที่ลงสนามในศึกฟุตบอลโลก 1998 ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับฝรั่งเศส ในเกมรอบชิงดำ เสริมว่า “คาเซมิโร่เป็นคนดูแลหน้าแผงแบ็คโฟร์ และทำตัวเหมือนกับตัวกรองขั้นแรก”

“เขา ยัง สามารถ ยิง ประตู จาก ระยะ กลาง ได้ ด้วย ซึ่ง สร้าง ความ แตกต่าง อย่าง สำคัญ ใน ตำแหน่ง นั้น”

ทางด้าน กาเบรียล เชซุส กองหน้า เพื่อน ร่วมทัพ ก็ บอก ว่า แฟนๆ อย่า ประหลาด ใจ กับ คุณภาพ การ ถล่ม ตาข่าย ของคาเซมิโร่พร้อม แนะนำ เสร็จสรรพ ให้ไปค้น “อากู๋” ดูว่า นักเตะรายนี้มีพิษสงมากเพียงใด

“ผมไม่รู้เหมือนกันหรอกนะว่าคนในอังกฤษรับชมช่วงอาชีพของคาเซมิโร่ก่อนที่เขาย้ายมาพรีเมียร์ลีกหรือเปล่า แต่ผมติดตามเขากับเรอัล มาดริดมานานหลายปี และทราบดีว่าเขายิงประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เยอะขนาดไหน”

“หากคุณไปค้นอากู๋ แล้วหาดูเกมของคาเซมิโร่กับเรอัล มาดริด คุณจะเจอเลยนะว่าเขาเป็นอย่างไร เขาเติมขึ้นมาแล้วยิงประตูได้เยอะมาก ผมเคยเล่นกับมิดฟิลด์เก่งๆ หลายคน และผมก็ใส่แฟร์นานดินโญ่ เอาไว้ตรงนี้เช่นกัน”

“แต่ผมมีช่วงเวลากับ คาเซมิโร่มากกว่า เขาเป็นนักเตะที่น่าอัศจรรย์ บางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้และไม่ค่อยให้ความเคารพต่อเขามากนัก แต่ผมเคารพ เพราะผมเล่นกับเขามานานแล้ว และรู้ดีว่าเขาเก่งขนาดไหน”

ส่วนตัวห้องเครื่องวัย 30 ปีเอง ก็บอกว่า “ชัดเจนเลยนะว่า เป้าหมายแรกๆ ของผมคือการสนับสนุนทีมและนำพาความสมดุลเข้ามา ผมจำเป็นต้องสนับสนุนบรรดานักเตะในแนวรับ แล้วก็ดับไฟให้หมดไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นตรงไหน”

“เมื่อคุณกำลังเจอกับคู่แข่งที่เน้นการตั้งรับ เราก็ต้องสัมผัสได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา ภารกิจแรกของผมคือการเล่นเกมรับ แต่หากมันมีโอกาสที่จะลองลุ้นประตู มันก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน”

คาเซมิโร่ บราซิล บอลโลก

เมื่อ 4 ปีก่อนนั้น สิ่งต่างๆไม่เหมือนกันออกไปจากนี้มาก

ภายหลัง 9 ฤดูกาลในสีเสื้อของเรอัล มาดริดคาเซมิโร่ ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนสิงหาคม ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ เพื่อเติมช่องว่างในแดนกลางของ “ปีศาจแดง”

แม้กวาดแชมป์มากมายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยัง แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย, ลา ลีกา 3 หน, แชมป์โคปา อเมริกา 2019 แต่รางวัลชิ้นใหญ่สุดของแวดวงลูกหนัง คือสิ่งที่เขายังขาดหายไป

เมื่อ 4 ปีก่อน “แซมบ้า” โดน เบลเยี่ยม ปราบตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ระหว่างการแข่งขันที่รัสเซีย ซึ่งนัดดังกล่าว คาเซมิโร่ไม่ได้ลงสนาม โดยเป็น แฟร์นานดินโญ่ ที่ถูกเลือกมาคุมแดนกลางแทน

แต่ บราซิล คือตัวเต็งที่จะชูถ้วย “ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ” หนนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งเมื่อโดนถามว่าอะไรคือสิ่งที่แตกต่างออกไปคาเซมิโร่ กล่าวว่า “ผมเชื่อว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างเลยนะ”

“4 ปีก่อนผ่านพ้นไปแล้ว มีนักเตะใหม่ และปีนี้ เรามีออปชั่นกว้างไกลมาก เรามีนักเตะให้เลือกใช้มากมายโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงทีม”

“เราสามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางการเล่นของเราได้ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยนะว่า ออปชั่นมันเยอะกว่าเมื่อตอนปี 2018 มหาศาล”

ด้าน ติเต้ กุนซือวัย 61 ปี ที่รั้งบังเหียนนายใหญ่ “เซเลเซา” ตั้งแต่ปี 2016 พูดเสริมไปว่า “ผมอยากให้ข้อสังเกตจากสิ่งที่คาเซมิโร่พูดไปนะ เรื่องออปชั่นที่กว้างไกล และมันยังมีเวลา 4 ปีให้เตรียมความพร้อมอีกต่างหาก”

“นักกีฬาคนหนุ่มเหล่านี้สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ ใครล่ะจะชนะในวันนี้? กระบวนการและพัฒนาการของทีม นั่นคือการทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก”

แน่นอนว่าบรรดากองเชียร์ “ปีศาจแดง” ก็จะเอาใจช่วงให้ คาเซมิโร่ทำผลงานโดดเด่นในมหกรรมลูกหนังโลกที่กาตาร์ หนนี้ พร้อมสานต่อฟอร์มการเล่นมาช่วยพลพรรค “เร้ด เดวิลส์” ไขว่คว้าแชมป์ที่ห่างหายไปนานให้ได้ในฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน